บทที่1 ประชากร
1.ความหมาย บนโลกมีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มากมายหลายชนิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งบนบกและในน้ำ บางชนิดทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ที่ไม่สามารถสร้างอาหารด้วยตนเองได้ บางชนิดอาศัยอยู่บนพื้นดินกินพืชและสัตว์อื่นเป็นอาหารบางชนิดอาศัยอยู่ใต้ดินกินซากพืชและซากสัตว์เป็นอาหาร บางชนิดอาศัยอยู่ตามต้นไม้ ขอนไม้ กินหนอน กินแมลง กินผลไม้เป็นอาหาร และบางชนิดอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกินแพลงก์ตอนและสัตว์น้ำอื่นเป็นอาหาร เป็นต้น สิ่งมีชีวิตต่างๆ เหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น แสงสว่าง อุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น และยังต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองอีกด้วย ถ้าหากสภาพแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปก็อาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและมีผลต่อการเพิ่มหรือลดจำนวนของประชากรได้ด้วย
1.1 ความหนาแน่นและการแพร่กระจายของประชากร
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ล้วนต้องการสภาพแวดล้อมและปัจจัยทางกายภาพที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ดังจะเห็นได้ว่ามักพบประชากรนกอาศัยอยู่บนต้นไม้มากกว่าที่จะพบทำรังอยู่บนพื้นดิน และจะพบประชากรอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาดมากกว่าที่จะพบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สกปรก การพบสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งที่เฉพาะนั้น เนื่องจากว่าสภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ มีความจำเพาะและเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ ไ ด้เช่น การที่นกส่วนมากทำรังอยู่บนต้นไม้ เนื่องจาก ว่าต้องการหลบหลีกภัยจากศัตรูที่จะมารุกราน หรือทำอันตราย และการอาศัยอยู่บนต้นไม้สูงย่อมทำให้นกปลอดภัยผู้ล่าบนพื้นดินได้ นอกจากนี้แล้วยังพบว่าประชากรสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีการแพร่กระจายในแต่ละพื้นที่ในปริมาณ และสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงมีผลทำให้เกิดความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันด้วย - ในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่มีความหนาแน่นของประชากรมนุษย์เป็นอย่างไร
1.2 ความหนาแน่นของประชากร ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง สามารถศึกษาความหนาแน่นได้โดยการคาดคะเน ซึ่ง ความหนาแน่นของประชากร (population density) หมายถึงจำนวนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันต่อหน่วยพื้นที่หรือปริมาตร สามารถประเมินหาความหนาแน่นได้ 2 วิธีคือ การหาค่าความหนาแน่นอย่างหยาบ (crude density) เป็นการหาจำนวนประชากรต่อ พื้นที่ทั้งหมด (total space) ที่ศึกษา การหาค่าความหนาแน่นเชิงนิเวศ (ecological density) เป็นการหาจำนวน หรือมวลของประชากรต่อหน่วย พื้นที่ที่ประชากรนั้นอาศัยอยู่จริง(habitat space)
- การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่นั้น มีปัจจัยสำคัญอย่างไรบ้าง
ในสภาพธรรมชาติ พบว่าการหา ความหนาแน่นของประชากรที่แท้จริง (true density) โดยการสำรวจหรือ การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (total count) ต่อหน่วยพื้นที่นั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากสิ่งมีชีวิตโดยส่วนใหญ่มักมีการเคลื่อนย้ายและไม่ค่อยอยู่กับที่ ดังนั้นจึงมีวิธีการประเมินค่าความหนาแน่นของประชากร ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
ในสภาพธรรมชาติ พบว่าการหา ความหนาแน่นของประชากรที่แท้จริง (true density) โดยการสำรวจหรือ การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (total count) ต่อหน่วยพื้นที่นั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากสิ่งมีชีวิตโดยส่วนใหญ่มักมีการเคลื่อนย้ายและไม่ค่อยอยู่กับที่ ดังนั้นจึงมีวิธีการประเมินค่าความหนาแน่นของประชากร ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
เชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์
|
ถ้าหากในทุ่งร้างแห่งหนึ่งมีพื้นที่ 20 ตารางกิโลเมตร พบนกยางชนิดหนึ่งจำนวน 150 ตัว อาศัยทำรังอยู่บริเวณรอบๆ แหล่งน้ำซึ่งมีพื้นที่ 5 ตารางกิโลเมตร ให้นักเรียนคำนวณหาค่าความหนาแน่นของประชากรอย่างหยาบ และค่าความหนาแน่นของประชากรเชิงนิเวศ
|
สุ่มตัวอย่างแบบวางแปลง (quadrat sampling method) เป็นวิธีการวางแปลงสุ่มตัวอย่างสิ่งมีชีวิตบางส่วนในบริเวณที่ต้องการศึกษา แล้วนำมาคิดคำนวณเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหาความหนาแน่นซึ่งเหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างอยู่กับที่ เช่น พืช เพรียงทะเล ทำเครื่องหมายและจับซ้ำ (mark and recapture method) เป็นวิธีการทำเครื่องหมายสัตว์ที่จับแล้วปล่อย เมื่อจับใหม่จะได้ทั้งตัวที่มีเครื่องหมายและตัวที่ไม่มีเครื่องหมาย ข้อควรคำนึงก็คือว่าในขณะที่ใช้วิธีนี้สัตว์ต้องไม่มีการอพยพเข้า อพยพออก หรือมีการเกิด การตาย จึงจะได้จำนวนที่ใกล้เคียงความจริงสามารถคำนวณได้จากสูตร
P = T2M1/M2
เมื่อ
P = ประชากรที่ต้องการทราบ
T2 = จำนวนสัตว์ทั้งหมดที่จับได้ครั้งหลังทั้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย
M1 = จำนวนสัตว์ที่จับได้ครั้งแรกและทำเครื่องหมายทั้งหมดแล้วปล่อย
M2 = จำนวนสัตว์ที่มีเครื่องหมายที่จับได้ครั้งหลัง
ในการหาความหนาแน่นของประชากรสามารถทำได้หลายวิธีดังที่ได้กล่าวข้างต้น นอกจากนี้ในกิจกรรมที่ 21.11 ที่นักเรียนได้ไปสำรวจระบบนิเวศในท้องถิ่นของนักเรียนมาแล้วนั้น นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าประชากรของสิ่งมีชีวิตที่นักเรียนสำรวจนั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างไร
วิธีการทดลอง 1. ใช้กรอบนับจำนวนประชากร สุ่มตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในสนามหญ้าภายในบริเวณโรงเรียน หรือบริเวณรอบๆ โรงเรียนที่ได้สำรวจ แล้วทำการนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่สำรวจพบ โดยทำการสุ่มอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือให้นักเรียนนำข้อมูลจากที่นักเรียนได้ไปสำรวจหาความหนาแน่นของประชากรในระบบนิเวศที่นักเรียนได้ทำมาแล้วในกิจกรรมที่ 21.1 มาร่วมกันอภิปรายก็ได้ 2. ใช้เชือกพลาสติกหรือเชือกฟางทำแปลงขึงในสนามบริเวณโรงเรียน หรือบริเวณที่จะทำการสำรวจโดยแต่ละกลุ่มใช้พื้นที่ขนาด 3 x 3 ตารางเมตร หรือขนาด 5 x 5 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ จากนั้นทำการนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่พบในบริเวณนั้น โดยแต่ละกลุ่มอาจแบ่งพื้นที่ในแปลงออกเป็นพื้นที่ย่อยๆ อีก 1 x 1 ตารางเมตร หรือขนาด 50 x 50 ตารางเซนติเมตร เพื่อให้สะดวกต่อการนับก็ได้ แล้วนำข้อมูลที่ได้มาร่วมกันอภิปราย - ความหนาแน่นของประชากรสิ่งมีชีวิตในบริเวณที่นักเรียนสำรวจนั้นเป็นอย่างไร และจากข้อมูล ดังกล่าวนี้บอกอะไรเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของนักเรียนได้บ้าง
กิจกรรมเสนอแนะ การหาความหนาแน่นของประชากรในห้องปฏิบัติการ โดยวิธีการทำเครื่องหมายและจับซ้ำ วัสดุอุปกรณ์ 1. กล่องพลาสติกใสขนาดกลางพร้อมฝาปิด 1 กล่อง 2. บีกเกอร์ขนาด 100 CM3 1 ใบ 3. ถาดพลาสติกใส 1 ใบ 4. พู่กันเบอร์ 1 1 อัน 5. ปากกาลบคำผิด 1 ด้าม 6. มอดแป้ง หรือมอดข้าวสาร 100 ตัว 7. แป้ง หรือข้าวสารสำหรับเลี้ยงมอดพอประมาณ
วิธีการทดลอง 1. นำมอดแป้งจำนวน 100 ตัว ใส่ลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารหรือแป้งบรรจุอยู่ พร้อมกับปิดฝากล่องแล้วเขย่าเบาๆ ให้เข้ากัน 2. นำบีกเกอร์ขนาด 100 CM3 สุ่มตักข้าวสารที่มีมอดแป้งอยู่ เทลงในถาดพลาสติก นับจำนวนแล้วบันทึกข้อมูลไว้ โดยอาจใช้ปลายพู่กันช่วยในการสัมผัสตัวมอด 3. ใช้ปากกาลบคำผิดแตะลงบนตัวมอดเบาๆ เพื่อทำเครื่องหมายตัวที่ถูกจับได้ในข้อ 2 จากนั้นนำมอดที่ทำเครื่องหมายแล้วปล่อยลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารดังเดิม แล้วเขย่าเบาๆ เพื่อให้มอดตัวที่มีและไม่มีเครื่องหมายปะปนกัน 4. นำบีกเกอร์ขนาด 100 CM3 สุ่มตักข้าวสารที่มีมอดแป้งอยู่เป็นครั้งที่ 2 และ 3 เพื่อนำมานับจำนวน บันทึกจำนวนมอดแป้งตัวที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายที่จับได้ จากนั้นปล่อยลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารดังเดิม 5. นำข้อมูลที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยของจำนวนมอดแป้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย แล้วคำนวณหาค่าความหนาแน่นของประชากรมอดแป้ง - การสุ่มตัวอย่างมากครั้งหรือน้อยครั้งมีผลต่อความแม่นยำในการนับจำนวนประชากรหรือไม่ อย่างไร
1.3การแพร่กระจายของประชากร นักเรียนเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมเราจึงพบสัตว์บางชนิดได้ในเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เช่น หมีโคอาลาและจิงโจ้พบที่ประเทศออสเตรเลีย หมีแพนด้าพบที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ค้างคาวคุณกิตติพบที่ประเทศไทย และกวางเรนเดียร์พบมากที่ทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากตัวอย่างที่ยกมานี้ นักเรียนยังอาจจะทราบคำตอบได้จากการศึกษาต่อไปนี้
ปัจจัยจำกัดที่มีผลต่อการแพร่กระจายของประชากร ในแต่ละพื้นที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันอาศัยอยู่ร่วมกันในปริมาณที่แตกต่างกันเนื่องจากมีปัจจัยจำกัด (limiting factor) บางประการที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่ไม่เหมือนกัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของประชากรเกิดขึ้น ปัจจัยดังกล่าวนั้น ได้แก่
ปัจจัยทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพบางประการ เช่น ความสูงจากระดับ น้ำทะเล อุณหภูมิ แสง ความชื้น ความเป็นกรด-เบส ฯลฯ พบว่ามีผลต่อการแพร่กระจายของประชากรของสิ่งมีชีวิต เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเล มีผลต่อการแพร่กระจายของพืชบางชนิด เช่น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000-1,700 เมตร จะพบว่ามีสนสามใบขึ้นอยู่ค่อนข้างมาก และที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 1,000 เมตร จะพบสนสามใบขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไป อุณหภูมิ ในพื้นที่แถบทะเลทรายซึ่งมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงนั้น มักจะพบว่ามีพืชบางชนิดเท่านั้นที่สามารถขึ้นอยู่ได้ เช่น พืชจำพวกกระบองเพชร เนื่องจากสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงถึง 60 องศาเซลเซียสได้ดี ความเป็นกรด-เบส พืชบางชนิด เช่น ข้าวพบว่าสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลผลิตดีที่สุดในสภาพดินเหนียว และในดินที่มีน้ำท่วมขังซึ่งมีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ในช่วง 6.5-7.0 แสง มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด เช่น เดือย ซึ่งเป็น พืชวันสั้น (short-day plant) ต้องการแสงแดดจัดในช่วงสั้นๆ และอุณหภูมิสูงในการเจริญเติบโต
ปัจจัยทางชีวภาพ ในสภาพธรรมชาติโดยทั่วไปพบว่ามีสิ่งมีชีวิตหลากหลายอยู่ร่วมกัน สิ่งมีชีวิตบางชนิดพบว่าปัจจัยทางชีวภาพที่เป็นปัจจัยจำกัดต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ เช่น กรณีของเสือหรือสิงโต ซึ่งเป็นผู้ล่ากับกวางซึ่งเป็นเหยื่อ กรณีดังกล่าวนี้พบว่าเสือหรือสิงโตเป็นปัจจัยจำกัดต่อการมีชีวิตอยู่รอดของกวาง หรือกรณีของการแข่งขันเพื่อการอยู่รอดในสังคมของสัตว์ชนิดเดียวกัน พบว่าสัตว์ที่แข็งแรงกว่าจะมีโอกาสเจริญเติบโตและอยู่รอดกว่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางชีวภาพอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ซึ่งพบว่าในพื้นที่หนึ่งๆ มักจะมีสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเข้ามาในพื้นที่นั้นอยู่เสมอ จนทำให้สิ่งมีชีวิตเดิมที่มีอยู่ได้รับผลกระทบในลักษณะของการถูกแก่งแย่งที่อยู่อาศัยและอาหาร หรือการถูกขัดขวางการแพร่กระจายพันธ์จากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น เช่น ผักตบชวา ที่แพร่กระจายลงสู่แหล่งน้ำและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนทำให้ผักตบไทยซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมในแหล่งน้ำนั้นลดจำนวนลงหรือสูญพันธ์ไป กรณีการปล่อย ปลาดูด (suckermouth catfish) หรือที่รู้จักในนามของ ปลาเทศบาล ลงไปในแหล่งธรรมชาติ พบว่ามีผลทำให้สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด ที่วางไข่บนหน้าดินและตัวอ่อนเจริญเติบโตบนหน้าดินลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไป เนื่องจากปลาดูดจะทำลายแหล่งทำรังและแหล่งวางไข่ของสัตว์ และกินไข่ของสัตว์น้ำเป็นอาหาร นอกจากนี้พบว่าการระบาดของหอยเอรี่ในแหล่งน้ำหรือนาข้าวมีต่อการทำลายพืชผล โดยเฉพาะกล้าข้าว เนื่องจากจากหอยเชอรี่สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ตลอดปี โดยจะวางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 350-3,000 ฟอง และไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 7- 12 วัน การแพร่ระบาดของหอยเชอรี่มีผลทางอ้อม ทำให้ปริมาณหอยโข่งในธรรมชาติลดปริมาณลงได้ ในต่างประเทศ เช่น ในทวีปแอฟริกาพบว่าในพื้นที่หลายแห่งมี แมลงเซทซิ (tsetse fly) ดังภาพที่ 22-2 ค. อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งแมลงชนิดนี้เป็นพาหะของ โรคเหงาหลับ (African sleeping sickness) จึงทำให้แทบจะไม่มีผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่เลย
ปัจจัยทางชีวภาพ
สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการแพร่กระจายของประชากร เช่น การที่สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นทะเล ทะเลทราย และเทือกเขาสูง สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำแพงขวางกั้นหรือหรือกีดขวางที่ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถว่ายน้ำ ปีนป่าย บิน หรือลอยข้ามกำแพงกีดขวางไปยังอีกพื้นที่หนึ่งได้ - ให้นักเรียนยกตัวอย่างปัจจัยกายภาพอื่นๆ นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีผลต่อการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตมาอีก 2 ตัวอย่าง - ให้นักเรียนยกตัวอย่างการแพร่กระจายของประชากรสิ่งมีชีวิตที่มีผลเนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์มาสัก 2-3 ตัวอย่าง - ในปัจจุบันนี้พบว่ามีภาคเอกชนและภาคธุรกิจของไทยหลายแหล่งได้มีดารพยายามนำเข้าสัตว์ต่างประเทศที่ไม่เคยมีในประเทศไทยเข้ามาเลี้ยงในเชิงธุรกิจ เช่น นกเพนกวิน แมวน้ำ นกกระจอกเทศ เป็นต้น และทำการปรับสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงให้มีสภาพที่ใกล้เคียงกับที่สัตว์นั้นๆ เคยอาศัยอยู่ นักเรียนคิดว่ามีผลดีและมีผลเสียในเรื่องใดบ้าง
รูปแบบการแพร่กระจายของประชากร ประชากรที่พบในธรรมชาติจะมีรูปแบบแพร่กระจายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต อายุ และการสนองต่อสภาพแวดล้อมอื่นๆ การแพร่กระจายของประชากรธรรมชาติมีหลายแบบ
- รูปแบบการพแร่กระจายของประชากรในธรรมชาติแต่ละแบบดังภาพ มีผลดีและผลเสียอย่างไรบ้าง - นักเรียนเคยเห็นพืชมรการแพร่กระจายอยู่ในธรรมชาติเป็นแบบใดบ้าง และแต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบนั้น
การแพร่กระจายแบบสุ่ม (random distribution) การแพร่กระจายแบบนี้พบมากในประชากรที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติโดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน และไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจึงไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสมาชิกและไม่มีการรวมกลุ่มของสมาชิก เช่น การแพร่กระจายของพืชที่มีเมล็ดปลิวไปกับลม หรือสัตว์ที่กินผลไม้และขับถ่ายอุจจาระทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ และในอุจจาระนั้นมีเมล็ดพืชปะปนอยู่จึงงอกกระจายทั่วๆ ไป การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม (clumped distribution) การแพร่กระจายแบบนี้เป็นรูปแบบการแพร่กระจายของประชากรที่พบในธรรมชาติมากที่สุด ส่วนใหญ่มักพบอยู่รวมกันด้วยเหตุผลหลายประชากร เช่น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของดิน อุณหภูมิ ความชื้น ทำให้เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ เป็นสาเหตุให้สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกันเป้นกลุ่ม เช่น ไส้เดือนดินจะพบในดินที่ร่วนซุยและมีความชื้นสูง มีอินทรียวัตถุมาก หรือการสืบพันธุ์ที่ทำให้สมาชิกในประชากรอยู่ร่วมกัน โดยเฉพาะตัวอ่อนที่ยังอาศัยการเลี้ยงดูจากพอแม่ เช่น สัตว์ที่อยู่เป็นกลุ่มครอบครัว เช่นชะนี หรือรูปแบบของพฤติกรรมที่อยู่เป็นกลุ่ม เช่น ฝูงนก ฝูงวัวควาย ฝูงปลา โขลงช้าง การแพร่กระจายแบบสม่ำเสมอ (uniform distrbution) การแพร่กระจายแบบนี้มักพบในบริเวณที่มีปัจจัยทางกายภาพบางประการที่จำกัดในการเจริญเติบโต เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และลักษณะของดิน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การแก่งแย่งน้ำเพื่อการเจริญเติบโตของ กระบองเพชรยักษ์ (saguaro) ที่ขึ้นในทะเลทรายของรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา การปลิวของผลยางไปตกห่างจากต้นแม่เพื่อเว้นระยะห่างของพื้นที่ในการเจริญเติบโต เพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งความชื้นและแสง หรือการที่ต้นไม้บางชนิดทีรากที่ผลิตสารพิษ ซึ่งสามารถป้องกันการงอกของต้นกล้าให้เป็นบริเวณห่างรอบๆ ลำต้น นอกจากนี้พบว่าบางครั้งการพแร่กระจายแบบนี้อาจเกิดจากพฤติกรรมทางสังคมที่กำหนดให้มีอาณาเขตรอบๆ เพื่อหากิน สืบพันธุ์และสร้างรัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น