วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความหมายและความสำคัญ

ความหมายและความสำคัญวิชาชีววิทยา


 ชีววิทยาจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต  ความสัมพันธ์ระหว่างประชากรสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่างๆ การศึกษาลักษณะรูปร่าง การดำรงชีวิต และการจัดจำแนก สิ่งมีชีวิต สำหรับการศึกษาในระดับย่อยลงมา  เช่น การศึกษาองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ อวัยวะ เนื้อเยื่อ และเซลล์ ในด้านโครงสร้างและหน้าที่การทำงาน

             นอกจากนี้ชีววิทยายังครอบคลุมถึงการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในระดับโมเลกุล อะตอมที่เป็น องค์ประกอบทางเคมีของเซลล์ เช่น โมเลกุลดีเอ็นเอ (DNA) อาร์เอ็นเอ(RNA) โมเลกุลของสารอินทรีย์ และอะตอมของ ธาตุต่างๆ ที่พบในสิ่งมีชีวิตรวมถึงการศึกษาเรื่องปฏิกิริยาเคมี และพลังงาน ที่เกิดขึ้น ในร่างกายสิ่งมีชีวิตอีกด้วย จะเห็นได้ว่าชีววิทยานั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ต่างๆหลายสาขา ทั้งทางด้านเคมี ฟิสิกส์คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ที่สามารถประยุกต์นำมาใช้อธิบายหรือจำลองความ เป็นไปของสิ่งมีชีวิต ทั้งหลาย เพื่อตอบปัญหาต่างๆที่มนุษย์สงสัย เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตได้
ชีววิทยา (Biology) คือ ศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆอย่างมีเหตุและผล ซึ่งศึกษาทั้งในเรื่อง ด้านโครงสร้าง ด้านการทำงาน ด้านการเจริญเติบโต ด้านวิวัฒนาการ ด้านถิ่นกำเนิด ด้านอนุกรมวิธาน ด้านการกระจายพันธุ์ และด้านอื่นๆอีกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต โดยจะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าอย่างมีเหตุมีผลในทุกแง่ทุกมุมของสิ่งมีชีวิตโดยละเอียด ซึ่งจะพึ่งพาการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยในการศึกษาสิ่งมีชีวิตต่างๆ
     คำว่า ชีววิทยา (Biology) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก จากคำว่า “bios” ที่แปลว่า สิ่งมีชีวิต และ “logos” ที่แปลว่า วิชา หรือการศึกษาอย่างมีเหตุผล
     เนื่องจากแต่ละเรื่องในเนื้อหาของชีววิทยามีกระบวนการและขั้นตอนการศึกษาที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อนมีหลายขั้นตอน ชีววิทยาจึงแตกแขนงเป็นสาขาวิชาต่างๆอีกมากมาย เพื่อจะได้เน้นศึกษาเฉพาะเรื่องของชีววิทยา ทำให้ศึกษาในเรื่องนั้นๆได้ละเอียดและลึกมากยิ่งขึ้น

ประเภท/องค์ประกอบ

ประเภท/การจำแนก
การศึกษาชีววิทยาจำแนกออกเป็นแขนงต่างๆมากมายโดยจัดเป็นกลุ่มใหญ่ ๆได้  2 กลุ่ม คือ
 1.จำแนกตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต 
    1) พฤกษศาสตร์ หรือ พฤกษวิทยา (Botany) 
    2)  สัตวศาสตรหรือ สัตววิทยา (Zoology) 
2. จำแนกตามวิธีการของการศึกษาถึงสิ่งมีชีวิต
              1) ศึกษาถึงสิ่งมีชีวิตแต่ละหน่วย
              2) ศึกษาถึงสิ่งมีชีวิตเป็นหมู่เป็นเหล่าสัมพันธ์กัน
จำแนกตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จำแนกได้ 2 กลุ่ม คือ
          1. พฤกษศาสตร์ หรือ พฤกษวิทยา (Botany) ศึกษาเกี่ยวกับพืช ซึ่งยังแยกออกเป็น กลุ่มย่อย ๆ ได้อีกมากมายเช่นตฤณวิทยา ศึกษาเกี่ยวกับหญ้า
2. สัตวศาสตร์ หรือ สัตววิทยา (Zoology) ศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งแยกออกเป็น.กลุ่มย่อย ๆ ได้อีกมากมาย เช่น สังขวิทยา ศึกษาเกี่ยวกับหอย มีนวิทยา ศึกษาเกี่ยวกับปลา ปักษีวิทยาศึกษาเกี่ยวกับนก เป็นต้น
 ชีวิตจำแนกตามวิธีการของการศึกษาถึงสิ่งมี จำแนกได้ 2 กลุ่มคือ
          1. ศึกษาถึงสิ่งมีชีวิตแต่ละหน่วย  แบ่งเป็น 3 แขนง ย่อยๆ คือ 
             - สัณฐานวิทยา (Morphology) ศึกษาเกี่ยวกับ รูปร่าง ลักษณะและโครงสร้าง ของสิ่งมีชีวิตทั้งภายในและภายนอก ยังจำแนก ย่อยลงไปได้อีกคือ

           - สรีรวิทยา (Physiology) ศึกษาเกี่ยวกับ หน้าที่และ การทำงาน ของระบบต่างๆ ภายใน สิ่งมีชีวิต
- คัพภวิทยา (Embryology) ศึกษาเกี่ยวกับ การ เจริญเติบโต เปลี่ยนแปลงขั้นต่าง ๆ
ของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ ตัวอ่อนจนถึงตัวเต็มวัย
        2. ศึกษาถึงสิ่งมีชีวิตเป็นหมู่เป็นเหล่าสัมพันธ์กัน จำแนก เป็นสาขาย่อย ๆ 5 สาขา ด้วยกันคือ
- อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ศึกษาเกี่ยวกับการจัด หมวดหมู่ของสิ่งมีชีวิต

- นิเวศน์วิทยา (Ecology) ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิตและ สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม

- ชีวภูมิศาสตร์ (Biogeographyศึกษา เกี่ยวกับ การกระจายพันธุ์ ของสิ่งมีชีวิตไปตามเขต ภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ของโลก
- พันธุศาสตร์ (Genetics) ศึกษาเกี่ยวกับ การถ่ายทอด ลักษณะต่าง ๆ ของ สิ่งมีชีวิตจาก บรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน และ ปัจจัยในการควบคุม ลักษณะความคล้ายคลึง และความแตกต่าง ของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ

- วิวัฒนาการ (Evolution) ศึกษาเกี่ยวกับความก้าวหน้าในการเจริญเติบโต ของสิ่งมีชีวิตจากอดีตจนถึง ปัจจุบันว่ามี การเปลี่ยนแปลง

ทฤษฎีชีววิทยา

ทฤษฎีชีววิทยา
1.ทฤษฎีของลามาร์ก (อังกฤษLamarkism, Lamarckian inheritance) คือแนวคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดลักษณะที่ได้รับมาใหม่ไปยั่งรุ่นลูกได้ ตั้งชื่อตามนักชีววิทยาชาวฝรั่งเศส Jean-Baptiste Lamarck
ขณะที่ Charles Darwin เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการโดยการคัดเลือกจากธรรมชาติลงในหนังสือ On the Origin of Species ดาร์วินก็ยังไม่ตัดแนวคิดนี้ โดยเรียกว่า การถ่ายทอดโดยการใช้และไม่ใช้ (use and disuse inheritance) แต่ปฏิเสธแง่มุมอื่นของทฤษฎี
ต่อมาเมื่อพันธุศาสตร์แบบเมนเดลพัฒนามากขึ้น ทำให้แนวคิดว่าด้วยการถ่ายทอดลักษณะที่ได้รับมาใหม่ถูกเลิกเชื่อไป
2.ทฤษฎีเซลล์ ในวิชาชีววิทยา เป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่อธิบายคุณสมบัติของเซลล์ หน่วยโครงสร้างพื้นฐานในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด การพัฒนาทฤษฎีเซลล์ช่วงต้น ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 อาศัยความก้าวหน้าของจุลทรรศนศาสตร์ ทฤษฎีเซลล์เป็นหนึ่งในรากฐานของวิชาชีววิทยา
ทฤษฎีเซลล์อธิบายได้ดังนี้
  1. สิ่งมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์หนึ่งเซลล์หรือมากกว่า
  2. เซลล์เป็นหน่วยโครงสร้าง การทำหน้าที่และการจัดระเบียบพื้นฐานในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
  3. ทุกเซลล์มาจากเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ก่อน


ธีโอดอร์ ชวันน์, มัททิอัส ยาคอบ ชไลเดน และรูดอล์ฟ วีร์โชว์มักได้รับเกียรติว่าเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีเซลล์

ประโยชน์และการนำไปใช้

1.ชีววิทยากับการดำรงชีวิต 

ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ เช่น การดูแลสุขภาพของร่างกายการป้องกันรักษาโรค การผลิตอาหาร การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ การเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของคน การรู้จักพฤติกรรมของสัตว์ต่าง ๆ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับชีวิวิทยาทั้งสิ้น นักวิชาการซึ่งเป็นผุ้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต จึงทำให้ได้พันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหรือผลผลิตตามความต้องการ เช่น พันธุ์พืชที่ต้านทานโรคและแมลงผลไม้ที่มีรสชาติอร่อย ผลที่มีขนาดใหญ่ สัตว์ที่เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณมาก เช่น นม หรือไข่ ทำให้มนุษย์มีอาหารอย่างพอเพียงหรือเป็นสินค้าทำรายได้เป็นอย่างดี ถ้าได้ติดตามการทำงานตามโครงการพระราชดำริ โครงการส่วนพระองค์ หรือโครงการหลวง ทำให้ทราบว่า มีการขยายพันธุ์พืชที่ควรอนุรักษ์ โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เช่น ขนุนไพศาลทักษิณและการปรับปรุงพันธุ์ เช่น เมล็ดถั่วแดงหลวดจากเมล็ดที่มีขนาดเล็กให้ได้เมล็ดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
นักวิชาการทางด้านการเกษตร ได้พัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อีก เช่น การถ่ายฝากตัวอ่อนของสัตว์การผลิตปุ๋ยชีวภาพ การผสมเทียมปลา ฯลฯ

การศึกษาวัฎจักรชีวิตและโครงสร้าง รูปร่างลักษณะและพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตช่วยให้สามารถเข้าใจการปรับตัวจากสิ่งมีชีวิตนำไปสู่การศึกษาวิจัยตัวยาที่นำใช้รักษาโรค และวิธีป้องกันโรคเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ทางการแพทย์ส่วนใหญ่ได้มาจากความรุ้ทางชีววิทยา การศึกษาในปัจจุบันก้าวหน้าจนสามารถตัดต่อยืนจากสิ่งมีชีวิต ในกระบวนการพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) ซึ่งนำมาใช้ทางการแพทย์ เช่น สามารถใช้ยีสต์ผลิตฮอร์โมนอินซูลินเพื่อรักษาโรคเบาหวาน สามารถใช้สุกรสร้างโกรทฮอร์โมน (GH : Growth hormone) เพื่อรักษาเด็กที่มีความสูงหรือต่ำกว่าปกติ และใช้ยีนบำบัด (gene therapy) ในการรักษาโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เป็นต้น
ความรู้จักการศึกษาคุณลักษณะของพืชชนิดต่าง ๆ โดยแพทย์แผนโบราณสามารถนำมาปรุงยาสมุนไพรใช้รักษาโรค นับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ และปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้ได้มาตรฐานสากล
การเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับร่างกายของเรา ทำให้เข้าใจการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ และเข้าใจวิธีการดูแลรักษาสุขภาพของตนและผู้ใกล้ชิด ความรู้ทางชีววิทยาอาจนำมาใช้ในการขยายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจและอนุรักษาสัตว์ที่หายาก เช่น การโคลน (cloning) สัตว์ชนิดต่าง ๆ 

ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อมวลมนุษยชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชฯ ทรงค้นพบว่า หญ้าแฝกเป็นพืชที่มีรากยาวมาก แข็งแรงและหนาแน่น สามารถปลูกเพื่อช่วยป้องกันการกัดเซาะและการพังทลายของดินได้ดี จึงทรงแนะนำให้เผยแพร่แก่ประชานทั่วไป

การขาดความรู้ทางด้านชีววิทยา เกี่ยวกับการดูแรักษาสิ่งแวดล้อมก็จะนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อม มีผลเสียต่าง ๆ ดังเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นที่อำเภอวังชิ้นจังหวัดแพร่ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2544 ถ้าวิเคราะห์แล้วจะพบว่า สาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่า นักอนุรักษ์จึงต้องช่วยกันรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของป่า ซึ่งเป็นแหล่งของต้นน้ำลำธาร และแหล่งซับน้ำในดินถ้าเราไม่ช่วยกันควบคุมดูแลภัยต่าง ๆ ก็จะบังเกิดขึ้น 

ชีววิทยากับการดำรงชีวิต

1.การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เลือกกินอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ๆซึ่งอาจติดโรคพยาธิ ได้ ไม่กินอาหารที่แมลงวันตอมเพราะอาจจะแพร่โรคได้ เลือกอาหารที่ปลอดจากสารพิษต่างๆเป็นต้น

2.การออกกำลังกายช่วยให้สุขภาพแข็งแรง รู้จักเลือกการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยและสภาพ ของร่างกาย

3. การรู้จักระบบต่างๆจองร่างกายช่วยให้การดูแลและรักษาระบบต่างๆของร่างกาย เช่นระบบโครงกระดูกระบบ ผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารฯลฯเป็นไปอย่างถูกต้อง อันจะเป็นผลให้สุขภาพของระบบต่างๆรวมถึงร่างกายเป็นปกติสุขด้วย

การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้แก่

1.การไม่ตัดไม้ทำไม้ลายป่า เพราะต้นไม้มีความสำคัญต่อสภาพแวดล้อม ละเป็นตัวการสำคัญในการผลิตออกซิเจนให้แก่โลก และลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกด้วย

2.การปลูกพืชคลุมดินการปลูกพืชหมุนเวียน การสงวนรักษาน้ำดินแร่ธาตุ และอากาศมีผลต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนทั้งสิ้น

3.การเข้าใจสมดุลของ พืชสัตว์ จุลินทรีย์ในฐานะผู้ผลิตอาหาร ผู้ย่อยสลายสารอันจะก่อให้เกิดวัฎจักรต่างๆของสารในระบบนิเวศ ซึ่งนำไปสู่ความสมดุลของสารในธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้นฯลฯ

3การพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการอยู่ดีกินดีของมนุษย์ชาติได้แก่

1.การผลิตสารต่างที่เป็นอาหารและช่วยในการรักษาโรค เช่น การผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากยีสต์เพื่อรักษาโรคเบาหวานในคน การผลิตกรดอะมิโนจำเป็นโดยแบคทีเรียการผลิตสาหร่ายสไปรูไลนาซึ่งมีโปรตีนสูงการถนอมอาหารโดยวิธีการต่างๆเป็นต้น

2.การพัฒนาทางด้านพันธุวิศวกรรม( genetic engineering )มาใช้ในการตัดต่อสารพันธุ์กรรมเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์กรรมพืช พันธุ์สัตว์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมีคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาถึงผลดีและผลเสียกันต่อไป

3.การพัฒนาเทคนิคทางด้าน DNA เพื่อนำมาใช้ในการตรวจหาสายสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกนอกจากนี้ยังใช้ในการสืบสวนสอบสวนทางคดีของแพทย์และตำรวจได้เป็นอย่างดี

4.การศึกษาทาางด้านพืชสมุนไพรสามารถนำมาผลิตเป็นยาแผนโบราณใช้ในการรักษาโรคต่างๆได้เป็นอย่างดีนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ

5.การศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เช่น การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วถ่ายฝากตัวอ่อน( In Vitro Fertilization-Embryo Transfr ) การนำเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ที่ท่อน้ำไข่หรือที่เรียกว่ากิ๊ฟ ( GFT หรือ Gamete Intrafallopian Transfer ) การทำอิ๊กซี่ ( ICSI หรือ Intracytoplasmic Sperm Injection ) รวมไปถึงการทำโคลนนิ่ง( Cloning ) 
2.ด้านการแพทย์
ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ช่วยให้คนมีบุตรยากมีบุตรได้ทั้งสิ้น
ไบโอเทค มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพในระดับชีววิทยาโมเลกุลโดยเน้นเป้าหมายการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาโรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำที่สำคัญและเป็นปัญหาของประเทศ ได้แก่ มาลาเรีย ไข้เลือดออก วัณโรค ไข้หวัดใหญ่/ไข้หวัดนก โดยการค้นหาเป้าหมายใหม่ของยาและการออกแบบยา ระบบทดสอบยาสำหรับโรคมาลาเรียและวัณโรค การพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ และวัณโรค การพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยโรค การพัฒนาวิธีตรวจสอบสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก และการพัฒนาวิธีการผลิตสารมูลค่าสูง ศึกษาด้านองค์ความรู้พื้นฐานเพื่อทราบสาเหตุกลไกการเกิดโรคและฐานข้อมูลทางคลีนิคสำหรับโรคไข้เลือดออก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีชีวสารสนเทศเพื่อการทำนาย ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรังที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น

แหล่งอ้างอิง

                                                                แหล่งอ้างอิง

http://www.thaibiotech.info/what-is-biology.php

ประวัติส่วนตัว

  ประวัติส่วนตัว

ชื่อ: พลอยนลิน วังภูสิทธิ์            ชื่อเล่น: พลอย
เกิด: 14 สิงหาคม 2541
สัญชาติ:ไทย เชื้อชาติ:ไทย ศาสนา:พุทธ
สถานภาพ:โสด
มีพี่น้อง 2คน ชาย 2 คน
ที่อยู่ปัจจุบัน: บ้านเลขที่87 ตำบล สะตอ อำเภอ เขาสมิง จังหวัดตราด รหัสไปรษณีย์ 23150
โทรศัพท์:0985797150
E-mail:ploy123.ploynalin33@gmail.com
Facebook: ‘พลอยอลิซาเบส
ความสามารถพิเศษ:เล่นกีฬา
คติประจำใจ:ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ

ประวัติการทำงาน
 การทำงาน: นักเรียน

ประวัติการศึกษา
จบ ประถมศึกษาปีที่6 โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านเขาฉลาด พ..2553
จบ มัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนสะตอวิทยาคม รัชมังคลาภิเษก  ..2556

ปัจจุบันศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่6

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่1ประชากร


บทที่1 ประชากร

         1.ความหมาย  บนโลกมีสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ มากมายหลายชนิดอยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ ทั้งบนบกและในน้ำ  บางชนิดทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ  ที่ไม่สามารถสร้างอาหารด้วยตนเองได้  บางชนิดอาศัยอยู่บนพื้นดินกินพืชและสัตว์อื่นเป็นอาหารบางชนิดอาศัยอยู่ใต้ดินกินซากพืชและซากสัตว์เป็นอาหาร  บางชนิดอาศัยอยู่ตามต้นไม้  ขอนไม้  กินหนอน กินแมลง กินผลไม้เป็นอาหาร  และบางชนิดอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำกินแพลงก์ตอนและสัตว์น้ำอื่นเป็นอาหาร  เป็นต้น  สิ่งมีชีวิตต่างๆ  เหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ได้ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมต่างๆ  ที่เหมาะสม  เช่น  แสงสว่าง  อุณหภูมิ  ความชื้น  เป็นต้น  และยังต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกันเองอีกด้วย   ถ้าหากสภาพแวดล้อมต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปก็อาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและมีผลต่อการเพิ่มหรือลดจำนวนของประชากรได้ด้วย 
 1.1 ความหนาแน่นและการแพร่กระจายของประชากร
             สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัยอยู่บนโลกนี้   ล้วนต้องการสภาพแวดล้อมและปัจจัยทางกายภาพที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต   ดังจะเห็นได้ว่ามักพบประชากรนกอาศัยอยู่บนต้นไม้มากกว่าที่จะพบทำรังอยู่บนพื้นดิน   และจะพบประชากรอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สะอาดมากกว่าที่จะพบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่สกปรก    การพบสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งที่เฉพาะนั้น   เนื่องจากว่าสภาพแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ มีความจำเพาะและเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นๆ ไ ด้เช่น การที่นกส่วนมากทำรังอยู่บนต้นไม้   เนื่องจากว่าต้องการหลบหลีกภัยจากศัตรูที่จะมารุกราน หรือทำอันตราย และการอาศัยอยู่บนต้นไม้สูงย่อมทำให้นกปลอดภัยผู้ล่าบนพื้นดินได้          นอกจากนี้แล้วยังพบว่าประชากรสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีการแพร่กระจายในแต่ละพื้นที่ในปริมาณ และสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงมีผลทำให้เกิดความหนาแน่นของประชากรในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันด้วย-   ในชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่มีความหนาแน่นของประชากรมนุษย์เป็นอย่างไร
 1.2 ความหนาแน่นของประชากร              ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่ง สามารถศึกษาความหนาแน่นได้โดยการคาดคะเน ซึ่ง ความหนาแน่นของประชากร (population density) หมายถึงจำนวนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันต่อหน่วยพื้นที่หรือปริมาตร สามารถประเมินหาความหนาแน่นได้ 2 วิธีคือ            การหาค่าความหนาแน่นอย่างหยาบ  (crude density) เป็นการหาจำนวนประชากรต่อ พื้นที่ทั้งหมด  (total space) ที่ศึกษา               การหาค่าความหนาแน่นเชิงนิเวศ (ecological density) เป็นการหาจำนวน หรือมวลของประชากรต่อหน่วย พื้นที่ที่ประชากรนั้นอาศัยอยู่จริง(habitat space)

        - การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตต่อหน่วยพื้นที่นั้น มีปัจจัยสำคัญอย่างไรบ้าง           
ในสภาพธรรมชาติ พบว่าการหา 
ความหนาแน่นของประชากรที่แท้จริง  (true density) โดยการสำรวจหรือ การนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งหมด (total count) ต่อหน่วยพื้นที่นั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากสิ่งมีชีวิตโดยส่วนใหญ่มักมีการเคลื่อนย้ายและไม่ค่อยอยู่กับที่   ดังนั้นจึงมีวิธีการประเมินค่าความหนาแน่นของประชากร   ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
เชื่อมโยงกับคณิตศาสตร์
     ถ้าหากในทุ่งร้างแห่งหนึ่งมีพื้นที่ 20 ตารางกิโลเมตร พบนกยางชนิดหนึ่งจำนวน 150 ตัว อาศัยทำรังอยู่บริเวณรอบๆ แหล่งน้ำซึ่งมีพื้นที่ 5 ตารางกิโลเมตร ให้นักเรียนคำนวณหาค่าความหนาแน่นของประชากรอย่างหยาบ และค่าความหนาแน่นของประชากรเชิงนิเวศ 
           สุ่มตัวอย่างแบบวางแปลง  (quadrat sampling method) เป็นวิธีการวางแปลงสุ่มตัวอย่างสิ่งมีชีวิตบางส่วนในบริเวณที่ต้องการศึกษา แล้วนำมาคิดคำนวณเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหาความหนาแน่นซึ่งเหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างอยู่กับที่ เช่น พืช เพรียงทะเล           ทำเครื่องหมายและจับซ้ำ (mark and recapture method) เป็นวิธีการทำเครื่องหมายสัตว์ที่จับแล้วปล่อย เมื่อจับใหม่จะได้ทั้งตัวที่มีเครื่องหมายและตัวที่ไม่มีเครื่องหมาย   ข้อควรคำนึงก็คือว่าในขณะที่ใช้วิธีนี้สัตว์ต้องไม่มีการอพยพเข้า อพยพออก หรือมีการเกิด การตาย จึงจะได้จำนวนที่ใกล้เคียงความจริงสามารถคำนวณได้จากสูตร
                                P = T2M1/M2
เมื่อ
                           P       =      ประชากรที่ต้องการทราบ
                           T2    =      จำนวนสัตว์ทั้งหมดที่จับได้ครั้งหลังทั้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย
                          M1         จำนวนสัตว์ที่จับได้ครั้งแรกและทำเครื่องหมายทั้งหมดแล้วปล่อย
                          M2    =      จำนวนสัตว์ที่มีเครื่องหมายที่จับได้ครั้งหลัง
           ในการหาความหนาแน่นของประชากรสามารถทำได้หลายวิธีดังที่ได้กล่าวข้างต้น   นอกจากนี้ในกิจกรรมที่ 21.11 ที่นักเรียนได้ไปสำรวจระบบนิเวศในท้องถิ่นของนักเรียนมาแล้วนั้น   นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าประชากรของสิ่งมีชีวิตที่นักเรียนสำรวจนั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างไร  

กิจกรรมที่ 1.2 การหาความหนาแน่นของประชากร   การหาความหนาแน่นของประชากรในภาคสนาม โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบวางแปลง   วัสดุอุปกรณ์              1. กรอบนับจำนวนประชากร 50 50 ตารางเซนติเมตร
            2. เชือกพลาสติก หรือเชือกฟางขนากความยาวประมาณ 20 เมตร
วิธีการทดลอง             1. ใช้กรอบนับจำนวนประชากร สุ่มตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในสนามหญ้าภายในบริเวณโรงเรียน หรือบริเวณรอบๆ โรงเรียนที่ได้สำรวจ แล้วทำการนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่สำรวจพบ โดยทำการสุ่มอย่างน้อย 3 ครั้ง หรือให้นักเรียนนำข้อมูลจากที่นักเรียนได้ไปสำรวจหาความหนาแน่นของประชากรในระบบนิเวศที่นักเรียนได้ทำมาแล้วในกิจกรรมที่ 21.1 มาร่วมกันอภิปรายก็ได้           2. ใช้เชือกพลาสติกหรือเชือกฟางทำแปลงขึงในสนามบริเวณโรงเรียน   หรือบริเวณที่จะทำการสำรวจโดยแต่ละกลุ่มใช้พื้นที่ขนาด 3 3 ตารางเมตร หรือขนาด 5 5 ตารางเมตร ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่   จากนั้นทำการนับจำนวนสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่พบในบริเวณนั้น   โดยแต่ละกลุ่มอาจแบ่งพื้นที่ในแปลงออกเป็นพื้นที่ย่อยๆ อีก 1 1 ตารางเมตร หรือขนาด 50 50 ตารางเซนติเมตร เพื่อให้สะดวกต่อการนับก็ได้   แล้วนำข้อมูลที่ได้มาร่วมกันอภิปราย-   ความหนาแน่นของประชากรสิ่งมีชีวิตในบริเวณที่นักเรียนสำรวจนั้นเป็นอย่างไร และจากข้อมูล ดังกล่าวนี้บอกอะไรเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นของนักเรียนได้บ้าง
กิจกรรมเสนอแนะ   การหาความหนาแน่นของประชากรในห้องปฏิบัติการ   โดยวิธีการทำเครื่องหมายและจับซ้ำ   วัสดุอุปกรณ์            1. กล่องพลาสติกใสขนาดกลางพร้อมฝาปิด 1 กล่อง           2. บีกเกอร์ขนาด  100 CM1 ใบ           3. ถาดพลาสติกใส 1 ใบ           4. พู่กันเบอร์ 1   1 อัน           5. ปากกาลบคำผิด 1 ด้าม            6. มอดแป้ง หรือมอดข้าวสาร 100 ตัว           7. แป้ง หรือข้าวสารสำหรับเลี้ยงมอดพอประมาณ 
วิธีการทดลอง              1. นำมอดแป้งจำนวน 100 ตัว ใส่ลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารหรือแป้งบรรจุอยู่ พร้อมกับปิดฝากล่องแล้วเขย่าเบาๆ ให้เข้ากัน           2. นำบีกเกอร์ขนาด  100 CM3 สุ่มตักข้าวสารที่มีมอดแป้งอยู่ เทลงในถาดพลาสติก นับจำนวนแล้วบันทึกข้อมูลไว้ โดยอาจใช้ปลายพู่กันช่วยในการสัมผัสตัวมอด           3. ใช้ปากกาลบคำผิดแตะลงบนตัวมอดเบาๆ เพื่อทำเครื่องหมายตัวที่ถูกจับได้ในข้อ 2 จากนั้นนำมอดที่ทำเครื่องหมายแล้วปล่อยลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารดังเดิม   แล้วเขย่าเบาๆ เพื่อให้มอดตัวที่มีและไม่มีเครื่องหมายปะปนกัน           4. นำบีกเกอร์ขนาด 100 CM3 สุ่มตักข้าวสารที่มีมอดแป้งอยู่เป็นครั้งที่ 2 และ 3 เพื่อนำมานับจำนวน บันทึกจำนวนมอดแป้งตัวที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมายที่จับได้ จากนั้นปล่อยลงในกล่องพลาสติกใสที่มีข้าวสารดังเดิม           5. นำข้อมูลที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยของจำนวนมอดแป้งที่มีเครื่องหมายและไม่มีเครื่องหมาย แล้วคำนวณหาค่าความหนาแน่นของประชากรมอดแป้ง- การสุ่มตัวอย่างมากครั้งหรือน้อยครั้งมีผลต่อความแม่นยำในการนับจำนวนประชากรหรือไม่ อย่างไร
 1.3การแพร่กระจายของประชากร              นักเรียนเคยสงสัยหรือไม่ว่า   ทำไมเราจึงพบสัตว์บางชนิดได้ในเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น เช่น หมีโคอาลาและจิงโจ้พบที่ประเทศออสเตรเลีย  หมีแพนด้าพบที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ค้างคาวคุณกิตติพบที่ประเทศไทย    และกวางเรนเดียร์พบมากที่ทวีปอเมริกาเหนือ   นอกจากตัวอย่างที่ยกมานี้ นักเรียนยังอาจจะทราบคำตอบได้จากการศึกษาต่อไปนี้
 ปัจจัยจำกัดที่มีผลต่อการแพร่กระจายของประชากร             ในแต่ละพื้นที่มีสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดกันอาศัยอยู่ร่วมกันในปริมาณที่แตกต่างกันเนื่องจากมีปัจจัยจำกัด (limiting factor) บางประการที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่ไม่เหมือนกัน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของประชากรเกิดขึ้น ปัจจัยดังกล่าวนั้น ได้แก่
ปัจจัยทางกายภาพ              ลักษณะทางกายภาพบางประการ เช่น ความสูงจากระดับ น้ำทะเล อุณหภูมิ แสง ความชื้น ความเป็นกรด-เบส ฯลฯ พบว่ามีผลต่อการแพร่กระจายของประชากรของสิ่งมีชีวิต เช่น           ความสูงจากระดับน้ำทะเล มีผลต่อการแพร่กระจายของพืชบางชนิด เช่น ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,000-1,700 เมตร จะพบว่ามีสนสามใบขึ้นอยู่ค่อนข้างมาก และที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลต่ำกว่า 1,000 เมตร จะพบสนสามใบขึ้นอยู่กระจัดกระจายทั่วไป             อุณหภูมิ ในพื้นที่แถบทะเลทรายซึ่งมีอุณหภูมิค่อนข้างสูงนั้น มักจะพบว่ามีพืชบางชนิดเท่านั้นที่สามารถขึ้นอยู่ได้ เช่น พืชจำพวกกระบองเพชร เนื่องจากสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงถึง 60 องศาเซลเซียสได้ดี             ความเป็นกรด-เบส พืชบางชนิด เช่น ข้าวพบว่าสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลผลิตดีที่สุดในสภาพดินเหนียว และในดินที่มีน้ำท่วมขังซึ่งมีค่าความเป็นกรด-เบส อยู่ในช่วง 6.5-7.0            แสง มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชบางชนิด เช่น เดือย ซึ่งเป็น พืชวันสั้น (short-day plant) ต้องการแสงแดดจัดในช่วงสั้นๆ และอุณหภูมิสูงในการเจริญเติบโต    

 
ปัจจัยทางชีวภาพ             ในสภาพธรรมชาติโดยทั่วไปพบว่ามีสิ่งมีชีวิตหลากหลายอยู่ร่วมกัน   สิ่งมีชีวิตบางชนิดพบว่าปัจจัยทางชีวภาพที่เป็นปัจจัยจำกัดต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้ เช่น กรณีของเสือหรือสิงโต ซึ่งเป็นผู้ล่ากับกวางซึ่งเป็นเหยื่อ   กรณีดังกล่าวนี้พบว่าเสือหรือสิงโตเป็นปัจจัยจำกัดต่อการมีชีวิตอยู่รอดของกวาง หรือกรณีของการแข่งขันเพื่อการอยู่รอดในสังคมของสัตว์ชนิดเดียวกัน   พบว่าสัตว์ที่แข็งแรงกว่าจะมีโอกาสเจริญเติบโตและอยู่รอดกว่าสัตว์ที่อ่อนแอกว่า   นอกจากนี้ยังมีปัจจัยทางชีวภาพอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ซึ่งพบว่าในพื้นที่หนึ่งๆ มักจะมีสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นเข้ามาในพื้นที่นั้นอยู่เสมอ   จนทำให้สิ่งมีชีวิตเดิมที่มีอยู่ได้รับผลกระทบในลักษณะของการถูกแก่งแย่งที่อยู่อาศัยและอาหาร หรือการถูกขัดขวางการแพร่กระจายพันธ์จากสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น เช่น ผักตบชวา ที่แพร่กระจายลงสู่แหล่งน้ำและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนทำให้ผักตบไทยซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมในแหล่งน้ำนั้นลดจำนวนลงหรือสูญพันธ์ไป   กรณีการปล่อย ปลาดูด  (suckermouth catfish) หรือที่รู้จักในนามของ ปลาเทศบาล ลงไปในแหล่งธรรมชาติ พบว่ามีผลทำให้สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด   ที่วางไข่บนหน้าดินและตัวอ่อนเจริญเติบโตบนหน้าดินลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไป   เนื่องจากปลาดูดจะทำลายแหล่งทำรังและแหล่งวางไข่ของสัตว์   และกินไข่ของสัตว์น้ำเป็นอาหาร   นอกจากนี้พบว่าการระบาดของหอยเอรี่ในแหล่งน้ำหรือนาข้าวมีต่อการทำลายพืชผล   โดยเฉพาะกล้าข้าว   เนื่องจากจากหอยเชอรี่สามารถผสมพันธุ์และวางไข่ได้ตลอดปี   โดยจะวางไข่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 350-3,000 ฟอง และไข่จะฟักเป็นตัวภายใน 7- 12 วัน การแพร่ระบาดของหอยเชอรี่มีผลทางอ้อม ทำให้ปริมาณหอยโข่งในธรรมชาติลดปริมาณลงได้           ในต่างประเทศ เช่น ในทวีปแอฟริกาพบว่าในพื้นที่หลายแห่งมี แมลงเซทซิ (tsetse fly) ดังภาพที่ 22-2 ค. อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากซึ่งแมลงชนิดนี้เป็นพาหะของ โรคเหงาหลับ  (African  sleeping  sickness) จึงทำให้แทบจะไม่มีผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่เลย
               สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการแพร่กระจายของประชากร เช่น การที่สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นทะเล ทะเลทราย และเทือกเขาสูง สิ่งเหล่านี้จะเป็นกำแพงขวางกั้นหรือหรือกีดขวางที่ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถว่ายน้ำ ปีนป่าย บิน หรือลอยข้ามกำแพงกีดขวางไปยังอีกพื้นที่หนึ่งได้ - ให้นักเรียนยกตัวอย่างปัจจัยกายภาพอื่นๆ นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วที่มีผลต่อการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตมาอีก 2 ตัวอย่าง ให้นักเรียนยกตัวอย่างการแพร่กระจายของประชากรสิ่งมีชีวิตที่มีผลเนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์มาสัก 2-3 ตัวอย่าง- ในปัจจุบันนี้พบว่ามีภาคเอกชนและภาคธุรกิจของไทยหลายแหล่งได้มีดารพยายามนำเข้าสัตว์ต่างประเทศที่ไม่เคยมีในประเทศไทยเข้ามาเลี้ยงในเชิงธุรกิจ เช่น นกเพนกวิน แมวน้ำ นกกระจอกเทศ เป็นต้น และทำการปรับสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงให้มีสภาพที่ใกล้เคียงกับที่สัตว์นั้นๆ เคยอาศัยอยู่ นักเรียนคิดว่ามีผลดีและมีผลเสียในเรื่องใดบ้าง
 รูปแบบการแพร่กระจายของประชากร              ประชากรที่พบในธรรมชาติจะมีรูปแบบแพร่กระจายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต อายุ และการสนองต่อสภาพแวดล้อมอื่นๆ การแพร่กระจายของประชากรธรรมชาติมีหลายแบบ
- รูปแบบการพแร่กระจายของประชากรในธรรมชาติแต่ละแบบดังภาพ   มีผลดีและผลเสียอย่างไรบ้าง- นักเรียนเคยเห็นพืชมรการแพร่กระจายอยู่ในธรรมชาติเป็นแบบใดบ้าง และแต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร อะไรเป็นสาเหตุทำให้เกิดการแพร่กระจายแบบนั้น
        การแพร่กระจายแบบสุ่ม (random distribution) การแพร่กระจายแบบนี้พบมากในประชากรที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติโดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกัน   และไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงจึงไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันระหว่างสมาชิกและไม่มีการรวมกลุ่มของสมาชิก เช่น การแพร่กระจายของพืชที่มีเมล็ดปลิวไปกับลม   หรือสัตว์ที่กินผลไม้และขับถ่ายอุจจาระทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ และในอุจจาระนั้นมีเมล็ดพืชปะปนอยู่จึงงอกกระจายทั่วๆ ไป            การแพร่กระจายแบบรวมกลุ่ม (clumped distribution) การแพร่กระจายแบบนี้เป็นรูปแบบการแพร่กระจายของประชากรที่พบในธรรมชาติมากที่สุด   ส่วนใหญ่มักพบอยู่รวมกันด้วยเหตุผลหลายประชากร เช่น สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของดิน อุณหภูมิ ความชื้น ทำให้เกิดแหล่งที่อยู่อาศัยรูปแบบต่างๆ เป็นสาเหตุให้สิ่งมีชีวิตอยู่รวมกันเป้นกลุ่ม เช่น ไส้เดือนดินจะพบในดินที่ร่วนซุยและมีความชื้นสูง มีอินทรียวัตถุมาก หรือการสืบพันธุ์ที่ทำให้สมาชิกในประชากรอยู่ร่วมกัน  โดยเฉพาะตัวอ่อนที่ยังอาศัยการเลี้ยงดูจากพอแม่ เช่น สัตว์ที่อยู่เป็นกลุ่มครอบครัว เช่นชะนี หรือรูปแบบของพฤติกรรมที่อยู่เป็นกลุ่ม เช่น ฝูงนก ฝูงวัวควาย ฝูงปลา โขลงช้าง          การแพร่กระจายแบบสม่ำเสมอ (uniform distrbution) การแพร่กระจายแบบนี้มักพบในบริเวณที่มีปัจจัยทางกายภาพบางประการที่จำกัดในการเจริญเติบโต เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และลักษณะของดิน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น การแก่งแย่งน้ำเพื่อการเจริญเติบโตของ กระบองเพชรยักษ์ (saguaro) ที่ขึ้นในทะเลทรายของรัฐอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา การปลิวของผลยางไปตกห่างจากต้นแม่เพื่อเว้นระยะห่างของพื้นที่ในการเจริญเติบโต   เพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งความชื้นและแสง หรือการที่ต้นไม้บางชนิดทีรากที่ผลิตสารพิษ   ซึ่งสามารถป้องกันการงอกของต้นกล้าให้เป็นบริเวณห่างรอบๆ ลำต้น   นอกจากนี้พบว่าบางครั้งการพแร่กระจายแบบนี้อาจเกิดจากพฤติกรรมทางสังคมที่กำหนดให้มีอาณาเขตรอบๆ เพื่อหากิน สืบพันธุ์และสร้างรัง

ที่มา  http://www.vcharkarn.com/lesson/1315